ความมั่นคงทางด้านอาหาร (Food-Security) กลายเป็นสิ่งที่หลายองค์กรและองค์กรระหว่างประเทศได้หยิบขึ้นมาประเด็นที่ทั่วโลกต้องกังวล โดยเฉพาะการขาดแคลนอาหารที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลายประเทศตั้งแต่เดิมอยู่แล้ว และเมื่อมีโควิด-19 เข้ามาแพร่ระบาดไปทั่วโลกอีกจึงเป็นประเด็นที่เข้ามาซ้ำเติมปัญหานี้ให้มีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
จากข้อมูลองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) พบว่าในปี 2019 ประชากรโลกกว่า 2 พันล้านคน หรือคิดเป็น 25.9% ของประชากรทั้งโลก ที่ต้องเจอกับความไม่มั่นคงทางอาหาร และยิ่งในวิกฤตโควิด-19 นี้แล้วด้วยแนวโน้มของสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก
ด้านองค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ระบุว่ามีประชากรโลกมากกว่า 135 ล้านคน ที่เข้าสู่ภาวะอดอยากในปี 2019 ซึ่งสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ให้ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีจำนวนประชากรที่ขาดแคลนอาหารเพิ่มขึ้นเกือบ 60 ล้านคนทั่วโลก ด้านข้อมูลจากโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติ (World Food Program : WFP) พบว่าในปี 2020 มีคนกว่า 265 ล้านคนที่เสี่ยงอดอยากขาดแคลนอาหารยิ่งขึ้นจากโควิด
ความมั่นคงทางด้านอาหารคืออะไร?
ตามนิยามขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หมายถึง สภาวะที่คนมีความสามารถทั้งทางกายภาพและทางเศรษฐกิจในการเข้าถึงอาหารที่เพียงพอ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการ ในทุกขณะเวลา
โดยมีการแบ่งองค์ประกอบเป็น 4 ด้าน
1. การมีอาหารเพียงพอ (Food Availability): การมีอาหารในปริมาณที่เพียงพออยู่อย่างสม่ำเสมอ
2. การเข้าถึงอาหาร (Food Access): การมีทรัพยากรที่เพียงพอในการได้มาซึ่งอาหาร
3. การใช้ประโยชน์จากอาหาร (Food Utilization): การมีความเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากอาหารได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดเตรียมอาหารให้ถูกสุขอนามัย
4. การมีเสถียรภาพด้านอาหาร (Food Stability): การเข้าถึงอาหารได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารคืออะไร?
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหารไม่ได้มีเพียงความอยากจนเท่านั้น แม้สาเหตุความอยากจนจะเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ครัวเรือนไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้อยากเพียงต่อ แต่ครัวเรือนที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนก็อาจะเสี่ยงที่จะเผชิญกับความไม่มั่นคงได้เช่นกัน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลก
1. การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของประชากรโลก
2. ภาวะโลกร้อนที่ส่งผลโดยตรงต่อการลดลงของพื้นที่ทำการเกษตร
3. การขาดแคลนน้ำที่เป็นปัจจัยการผลิตสำคัญในการเกษตร
4. การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้น
5. พฤติกรรมการบริโภคที่ก่อให้เกิดการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร
นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร เช่น พื้นที่ทำการเกษตรที่ลดลงจากการขยายของเขตเมือง ปัญหาดินที่เสื่อมโทรมจากการทำการเกษตรที่มากเกินไป เพราะฉะนั้นแล้วการทำการเกษตรแบบ โครงการ Plant Factory จึงมีส่วนช่วยแก้ปัญหาด้านพื้นที่การทำการเกษตรที่ลดลง และปัญหาดินเสื่อมโทรมได้ เพราะการทำการเกษตรแบบ Plant Factory เป็นการปลูกพืชในโรงเรือนแบบปิดโดยมีการรับน้ำประปาผ่านระบบกรองน้ำ จากนั้นน้ำจากถังเก็บจะถูกปรับภาพและสัดส่วนของปริมาณปุ๋ยโดยอาศัยชุดควยคุมปริมาณการป้อนปุ๋ยอัตโนมัติเพื่อเตรียมน้ำผสมกับปุ๋ยตามสภาวะที่พืชต้องการและมีระยะเวลาการปลูกที่สั้นการการปลูกด้วยระบบการเกษตรแบบเดิมจากการปลูกในดินใช้เวลา 60-75 วัน แต่ Plant Factory ใช้ระยะเวลาปลูกเพียง 30 วันเท่านั้น
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบการทำเกษตร Smart Farming ในประเทศไทย
การเกษตรยุคใหม่ กับการปรับใช้ให้เข้ากับยุค 5G
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Plant Factory ได้ที่:
Facebook: https://www.facebook.com/thaiplantwiki