Coming Soon!

Plant Factory แตกต่างจากการทำเกษตรอินทรีย์อย่างไร

Share This Post

Share on facebook
Share on linkedin
Share on twitter
Share on email

ทำความรู้จักการทำเกษตรแบบ Plant Factory หรือการปลูกพืชในโรงเรือน และการทำเกษตรแบบอินทรีย์ที่เป็นที่รู้จักกันว่าแต่ละแบบมีข้อดีหรือข้อจำกัดในการปลูกแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

Plant Factory คืออะไร ?

Plant Factory หรือโรงงานผลิตพืชเป็นการปลูกพืชภายในอาคารหรือสถานที่ที่ถูกสร้างและออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งมีการควบคุมสภาพสิ่งแวดล้อมสำหรับการเพาะปลูก เช่น อุณหภูมิ แสง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหาร ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูงตลอดทั้งปี

ข้อดีของการปลูกพืชระบบโรงงานผลิตพืช (Plant Factory)

การปลูกพืชแบบระบบโรงงานผลิตพืชมีหลายรูปแบบมีทั้งแบบระบบปิดทั้งหมดรวมไปถึงระบบเปิดที่มีการนำแสงธรรมชาติเข้ามาใช้ร่วมกันกับแสงเทียมซึ่งในการวิจัยต้องการควบคุมตัวแปรทั้งหมดเพื่อจัดทำเป็นสูตรสำหรับการปลูกพืช(Growth Recipe)จึงเลือกเป็นระบบปิดทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นการปลูกด้วยระบบใดก็ตาม ข้อดีที่สอดคล้องกัน 

  1. ป้องกันศัตรูพืชและลดความเสียหายจากการใช้ยาฆ่าแมลง
  2. เพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับพืชได้โดยตรง ทำให้พืชเติบโตได้มากขึ้น
  3. ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและประหยัดการใช้น้ำ
  4. ประหยัดพื้นที่ ขนาดความกว้างโรงเรือนเพียง 24 ตารางเมตร สามารถปลูกผักสลัดได้ 5,000 ต้น
  5. ผลผลิตที่ได้ค่อนข้างแน่นอน ปลูกผัก 100 ต้น ผลผลิตที่ได้ออกมาสม่ำเสมอและสมบูรณ์กว่า 99 เปอร์เซ็นต์
  6. สามารถรีไซเคิลน้ำปลูกได้ 4 รอบ หรือ 4 เดือน
  7. ลดระยะเวลาการปลูกให้สั้นลง ใช้ระยะปลูกเพียง 30 วัน
  8. สามารถผลิตสนองตลาดได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากฤดูกาลและภูมิอากาศ
  9. ไม่ต้องเลือกพื้นดินที่ใช้ในการเพาะปลูก สามารถผลิตได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ
  10. มีผลผลิตสูงต่อหน่วยพื้นที่ดินที่ใช้ เพราะสามารถทำการผลิตโดยซ้อนๆ กันหลายชั้นในแนวดิ่ง
  11. การควบคุมน้ำที่ป้อนสารอาหาร ช่วยทำให้รสชาติปรับดีขึ้น

ข้อจำกัด

  1. ปัจจุบันการลงทุนเบื้องต้นในอุปกรณ์และเครื่องจักรสูง
  2. ชนิดของพืชที่สามารถปลูกได้โดยวิธีนี้ยังมีจำกัด เพราะยังต้องพัฒนาเทคนิคหรือสูตรการปลูก (Growth Recipe)
  3. การควบคุมสภาวะแวดล้อมทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะกรณีของโรงงานประเภทที่ใช้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ผสมผสานกับแสงสว่างประดิษฐ์
  4. ยังมีข้อจำกัดด้านบุคลากร ที่มีความรู้ทางเทคนิคอย่างเพียงพอเกี่ยวกับโรงงานประเภทนี้

การเกษตรอินทรีย์คืออะไร ?

การเกษตรอินทรีย์ คือการทำการเกษตรด้วยวิธีทางธรรมชาติ พื้นที่ที่ทำการเกษตรนั้นต้องไม่มีสารพิษหรือสารเคมีตกค้าง และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมีในดิน น้ำ และอากาศ เพื่อให้มีความสมดุลทางธรรมชาติให้มากที่สุด  เน้นไปที่คุณค่าทางอาหาร และผลผลิตที่ปลอดสารพิษ  ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิต และสามารถประยุกต์ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อคุณภาพชีวิต

ข้อดีของการทำเกษตรแบบอินทรีย์

  1. ปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะงดใช้สารเคมีต่าง ๆ
  2. ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์
  3. ผลผลิตจำหน่ายได้ราคาสูงเมื่อเทียบกับพืชชนิดเดียวกัน เพราะปัจจุบันการเกษตรอินทรีย์เป็นที่นิยทของผู้บริโภค
  4. ลดต้นทุนจากการซื้อปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
  5. ใช้เมล็ดที่ผลิตโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เป็นการอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์พื้นบ้านไม่ให้สูญหาย
  6. สามารถใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ เช่น ฟางข้าว มลูสัตว์ เศษใบไม้ ฯ
  7. ลดการเสื่อมสภาพของดิน และลดมลพิษทางดิน น้ำ อากาศ
  8. ไม่ส่งผลเสียต่อแม่น้ำลำคลองเมื่อฝนตก เพราะไม่มีการใช้สารเคมี

ข้อจำกัดในการทำเกษตรแบบอินทรีย์

สำหรับผู้ที่จะปลูกเพื่อเชิงการค้าจำเป็นต้องขอใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และจะได้เครื่องหมายที่จะนำไปติดบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้จัดจำหน่ายต่อไป

  1. ผืนดินต้องปลอดการให้สารเคมีและยาฆ่าแมลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี
  2. ไม่ใช้สารเคมี สารเร่งโตและฮอร์โมนใด ๆ
  3. มูลสัตว์ที่นำมาทำเป็นปุ๋ยต้องไม่ผ่านการเลี้ยงด้วยสารเคมี
  4. วัตถุดิบที่นำมาทำปุ๋ยต้องมาจากธรรมชาติ
  5. ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผสมข้ามสายพันธุ์และเมล็ดที่ตัดแต่งพันธุกรรม (GMO)
  6. น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรอินทรีย์คือน้ำจากใต้ดินหรือน้ำบาดาล
  7. น้ำที่ใช้ล้างผลผลิตต้องสะอาดไม่มีสารเคมีปนเปื้อน

บทความอื่น ๆ ที่เกียวข้อง

เคล็บลับ เก็บผัก ยังไงให้สด ไม่เน่าง่าย


ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Plant Factory ได้ที่:
Facebook: https://www.facebook.com/thaiplantwiki

More To Explore

Do You Want To Boost Your Business?

drop us a line and keep in touch