ทำความรู้จักการทำเกษตรแบบ Plant Factory หรือการปลูกพืชในโรงเรือน และการทำเกษตรแบบอินทรีย์ที่เป็นที่รู้จักกันว่าแต่ละแบบมีข้อดีหรือข้อจำกัดในการปลูกแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
Plant Factory คืออะไร ?
Plant Factory หรือโรงงานผลิตพืชเป็นการปลูกพืชภายในอาคารหรือสถานที่ที่ถูกสร้างและออกแบบมาเฉพาะ ซึ่งมีการควบคุมสภาพสิ่งแวดล้อมสำหรับการเพาะปลูก เช่น อุณหภูมิ แสง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสารอาหาร ส่งผลให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณสูงตลอดทั้งปี
ข้อดีของการปลูกพืชระบบโรงงานผลิตพืช (Plant Factory)
การปลูกพืชแบบระบบโรงงานผลิตพืชมีหลายรูปแบบมีทั้งแบบระบบปิดทั้งหมดรวมไปถึงระบบเปิดที่มีการนำแสงธรรมชาติเข้ามาใช้ร่วมกันกับแสงเทียมซึ่งในการวิจัยต้องการควบคุมตัวแปรทั้งหมดเพื่อจัดทำเป็นสูตรสำหรับการปลูกพืช(Growth Recipe)จึงเลือกเป็นระบบปิดทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะเป็นการปลูกด้วยระบบใดก็ตาม ข้อดีที่สอดคล้องกัน
- ป้องกันศัตรูพืชและลดความเสียหายจากการใช้ยาฆ่าแมลง
- เพิ่มก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้กับพืชได้โดยตรง ทำให้พืชเติบโตได้มากขึ้น
- ปรับปรุงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและประหยัดการใช้น้ำ
- ประหยัดพื้นที่ ขนาดความกว้างโรงเรือนเพียง 24 ตารางเมตร สามารถปลูกผักสลัดได้ 5,000 ต้น
- ผลผลิตที่ได้ค่อนข้างแน่นอน ปลูกผัก 100 ต้น ผลผลิตที่ได้ออกมาสม่ำเสมอและสมบูรณ์กว่า 99 เปอร์เซ็นต์
- สามารถรีไซเคิลน้ำปลูกได้ 4 รอบ หรือ 4 เดือน
- ลดระยะเวลาการปลูกให้สั้นลง ใช้ระยะปลูกเพียง 30 วัน
- สามารถผลิตสนองตลาดได้ โดยไม่ได้รับผลกระทบจากฤดูกาลและภูมิอากาศ
- ไม่ต้องเลือกพื้นดินที่ใช้ในการเพาะปลูก สามารถผลิตได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ
- มีผลผลิตสูงต่อหน่วยพื้นที่ดินที่ใช้ เพราะสามารถทำการผลิตโดยซ้อนๆ กันหลายชั้นในแนวดิ่ง
- การควบคุมน้ำที่ป้อนสารอาหาร ช่วยทำให้รสชาติปรับดีขึ้น
ข้อจำกัด
- ปัจจุบันการลงทุนเบื้องต้นในอุปกรณ์และเครื่องจักรสูง
- ชนิดของพืชที่สามารถปลูกได้โดยวิธีนี้ยังมีจำกัด เพราะยังต้องพัฒนาเทคนิคหรือสูตรการปลูก (Growth Recipe)
- การควบคุมสภาวะแวดล้อมทำได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะกรณีของโรงงานประเภทที่ใช้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ผสมผสานกับแสงสว่างประดิษฐ์
- ยังมีข้อจำกัดด้านบุคลากร ที่มีความรู้ทางเทคนิคอย่างเพียงพอเกี่ยวกับโรงงานประเภทนี้
การเกษตรอินทรีย์คืออะไร ?
การเกษตรอินทรีย์ คือการทำการเกษตรด้วยวิธีทางธรรมชาติ พื้นที่ที่ทำการเกษตรนั้นต้องไม่มีสารพิษหรือสารเคมีตกค้าง และหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนของสารเคมีในดิน น้ำ และอากาศ เพื่อให้มีความสมดุลทางธรรมชาติให้มากที่สุด เน้นไปที่คุณค่าทางอาหาร และผลผลิตที่ปลอดสารพิษ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนการผลิต และสามารถประยุกต์ใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติเพื่อคุณภาพชีวิต
ข้อดีของการทำเกษตรแบบอินทรีย์
- ปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค เพราะงดใช้สารเคมีต่าง ๆ
- ดิน น้ำ สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศกลับมาอุดมสมบูรณ์
- ผลผลิตจำหน่ายได้ราคาสูงเมื่อเทียบกับพืชชนิดเดียวกัน เพราะปัจจุบันการเกษตรอินทรีย์เป็นที่นิยทของผู้บริโภค
- ลดต้นทุนจากการซื้อปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง
- ใช้เมล็ดที่ผลิตโดยกระบวนการทางธรรมชาติ เป็นการอนุรักษ์เมล็ดพันธุ์พื้นบ้านไม่ให้สูญหาย
- สามารถใช้ทรัพยากรจากธรรมชาติที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ เช่น ฟางข้าว มลูสัตว์ เศษใบไม้ ฯ
- ลดการเสื่อมสภาพของดิน และลดมลพิษทางดิน น้ำ อากาศ
- ไม่ส่งผลเสียต่อแม่น้ำลำคลองเมื่อฝนตก เพราะไม่มีการใช้สารเคมี
ข้อจำกัดในการทำเกษตรแบบอินทรีย์
สำหรับผู้ที่จะปลูกเพื่อเชิงการค้าจำเป็นต้องขอใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ และจะได้เครื่องหมายที่จะนำไปติดบรรจุภัณฑ์เพื่อใช้จัดจำหน่ายต่อไป
- ผืนดินต้องปลอดการให้สารเคมีและยาฆ่าแมลงติดต่อกันเป็นเวลา 3 ปี
- ไม่ใช้สารเคมี สารเร่งโตและฮอร์โมนใด ๆ
- มูลสัตว์ที่นำมาทำเป็นปุ๋ยต้องไม่ผ่านการเลี้ยงด้วยสารเคมี
- วัตถุดิบที่นำมาทำปุ๋ยต้องมาจากธรรมชาติ
- ไม่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผสมข้ามสายพันธุ์และเมล็ดที่ตัดแต่งพันธุกรรม (GMO)
- น้ำที่ใช้ในการทำเกษตรอินทรีย์คือน้ำจากใต้ดินหรือน้ำบาดาล
- น้ำที่ใช้ล้างผลผลิตต้องสะอาดไม่มีสารเคมีปนเปื้อน
บทความอื่น ๆ ที่เกียวข้อง
เคล็บลับ เก็บผัก ยังไงให้สด ไม่เน่าง่าย
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Plant Factory ได้ที่:
Facebook: https://www.facebook.com/thaiplantwiki