Smart Farming หรือการทำการเกษตรอัจฉริยะที่นำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาจัดการบริหารระบบการเพาะปลูกให้เป็นระบบและสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยสามารถควบคุมการเพาะปลูก ระบบน้ำ อุณหภูมิ ความชื้นต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีและสามารถตรวจสอบ เก็บข้อมูล นำไปวิเคราะห์และแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้โดยง่าย ส่งผลให้พืชพันธุ์เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
ปัจจุบันในประเทศไทยมีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมายเข้ามาช่วยในการทำการเกษตร ตั้งแต่เริ่มต้นผลิตตลอดจนการจัดจำหน่าย เพื่อเป็นการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกร ให้เพิ่มรายได้ และลดต้นทุนให้น้อยลง โดยมีการปรับใช้มาเรื่อย ๆ โดยที่จะเห็นได้ชัดคือการปลูกแบบ “ไฮโดรโปนิกส์” (Hydroponics) ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ดินในการเพาะปลูก แต่พืชกลับโตเร็วและให้ผลผลิตดี
Smart Farming
1. เกษตรแม่นยำสูง (Precision Agriculture)
เป็นการควบคุมปัจจัยในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการเพาะปลูกในแต่ละครั้ง เนื่องจากการที่จะควบคุมคุณภาพผลผลิตในแต่ละครั้งได้นั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก ทั้งปัจจัยทางสภาพอากาศ สิ่งแวดล้อม ดังนั้นแล้วการนำเทคโนโลยีเกษตรกรแม่นยำสูงเข้าใช้ จะสามารถตรวจสอบและควบคุมปัจจัยเหล่านั้นให้คงที่ ซึ่งจะช่วยให้การเพาะปลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของเกษตรกรไปพร้อม ๆ กัน
2. ระบบฟาร์มอัตโนมัติ
เป็นระบบที่จะช่วยแบ่งเบาภาระเกษตรกรได้อย่างเต็มที่ ด้วยการที่ไม่ต้องเสียเวลามารดน้ำพืชผักในทุก ๆ วัน ทั้งยังสามารถควบคุมระบบจัดการต่าง ๆ ได้ในระยะไกล เช่น
- ระบบควบคุมการเปิด-ปิดน้ำ ที่สามารถตั้งเวลาได้ตามต้องการ
- ระบบเซ็นเซอร์ติดตามสภาพอากาศ
- ระบบสั่งการผ่านสมาร์ทโฟน
3. ปลูกแบบไร้ดิน (Soilless Culture)
การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินเป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นมานานแล้ว เนื่องจากบางพื้นที่ในการเพาะปลูกมักประสบปัญหาเกี่ยวกับดินหรือโรงเรือนที่ก่อให้เกิดเป็นการสะสมโรคและแมลงได้ง่าย ดังนั้นการปลูกแบบไร้ดิน จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยการปลูกแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงสารละลายอาหารให้พืชสามารถรับสารอาหารเหล่านั้นได้ตลอดเวลา จึงเรียกวิธีการนี้ว่า “ไฮโดรโปนิกส์” (Hydroponics)
4. Smart Farming แบบผสมผสาน
คือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวกับการเกษตรแต่ละแบบนำมาปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นระบบปลูกแบบไร้ดิน การควบคุมระบบจากระยะไกล หรือแม้แต่การควบคุมค่าปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งหากเอาระบบต่าง ๆ มาปรับใช้รวมกัน จะทำให้การเกษตรง่ายยิ่งขึ้น
Plant Factory คือหนึ่งในรูปแบบการทำเกษตรแบบผสมผสานเทคโนโลยี ด้วยวิธีการปลูกแบบแนวดิ่งสามารถช่วยในการประหยัดพื้นที่เพาะปลูกได้เป็นอย่างดี และการจัดการระบบควบคุมสารอาหาร ปริมาณความชื้น และอุณหภูมิ แสงต่าง ๆ จะทำให้เกษตรกรในประเทศสามารถควบคุมผลผลิตให้มีปริมาณและคุณภาพที่สม่ำเสมอได้ ซึ่งจะช่วยในการประหยัดงบประมาณการจ้างแรงงาน และการจัดการต่าง ๆ ได้เป็นเท่าตัว
อ่านบทความเกี่ยวกับ Plant Factory เพิ่มเติมที่:
ไม่เพียงแต่รูปแบบการทำเกษตรเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่การผลิตและการขายก็เปลี่ยนตาม โดยปัจจุบันได้มีหลากหลายหน่วยงานริเริ่มแนวคิดโครงการจัดพื้นที่ขาย และกำหนดเรตราคาเฉพาะสินค้าพืชผักปลอดภัยที่ผู้ขายจะขายได้ในมูลค่าที่สูงขึ้น
หากในอนาคตประเทศไทยมีการทำเกษตรแบบ Smart Farming เพิ่มมากขึ้น เราก็อาจจะได้เห็นประเทศแห่งเทคโนโลยีและนวัตกรรม ก้าวข้ามเข้าสู่ประเทศแห่งเทคโนโลยีอย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับ Plant Factory ได้ที่:
Facebook: https://www.facebook.com/thaiplantwiki